วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ต้นชงโค

                                                                                     



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
     ไม้ต้น สูงได้ถึง 10 ม. ผลัดใบช่วงสั้นๆ
     ใบ ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปมนเกือบกลม กว้าง 8-10 ซม. ยาว 10-14 ซม. ปลายใบแยกเป็น 2 พู โคนใบมนหรือเว้า ขอบใบเรียบ สีเขียว
     ดอก ดอกช่อออกตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอก 5 กลีบ สีชมพูถึงม่วงเข้ม รูปรีกว้างตรงส่วนกลาง เมื่อบานวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 6-8 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อันอยู่ตรงกลางดอก รังไข่มีขน ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกเป็นช่วงๆ ตลอดปี
     ผล ผลเป็นฝักแบน กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 20-25 ซม. เมื่อแก่แตกเป็นสองซีก เมล็ดกลม มี 10 เมล็ด
ประโยชน์
     ใช้รากเป็นยาขับลม เปลือกเป็นยาแก้ท้องร่วง มีฤทธิ์แก้ท้องเสีย พอกฝี สารสกัดเอทานอล 50% ของชงโค เพิ่มระดับฮอร์โมนไทรอกซินในหนูทดลอง มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง


ต้นโมก

                                                                                            



ลักษณะของต้นโมก
      ต้น  เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีนำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบ
      ใบ  ใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข่ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร
      ดอก  ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาด ประมาณ 2 เซนติเมตร
      ฝักหรือผล  รูปทรงกระบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีเมล็ดเรียงอยู่เป็นจำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร
      เมล็ด  จำนวนมาก มีขนสีขาวเป็นกระจุกที่ปลาย  ออกดอกตลอดปี
  ประโยชน์ของต้นโมก
          คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์เพราะ โมก หรือ โมกข หมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง สำหรับส่วนของดอกก็มีลักษณะ สีขาว สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน นอกจากนี้ ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้นพุทธรักษา ดังนั้น จึงมีความเชื่อว่าต้นโมกสามารถคุ้มกันรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภายนอกได้เช่นกัน และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโมกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์

ราชาวดี

                                                                                         



ลักษณะทั่วไป:
         ต้น  ไม้ยืนต้นขนาดกลาง กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม มีขนปกคลุม เป็นต้นไม้ที่มีใบเป็นพุ่มโปร่ง ลำต้นและกิ่งก้านอ่อนลู่ลมได้ง่าย
         ใบ  เป็นใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่เรียงสลับกันไป ใบมนสอบไปทางปลาย ขอบใบหยัก ผิวใบระคายมือ เส้นใบนูน เด่นชัดทางด้านล่าง
         ดอก  สีขาวขนาดเล็ก ออกเป็นช่อช่อหนึ่ง ๆ ยาวประมาณ 6-8 ซม.

การดูแลรักษา:  ต้องการแสงแดดจัดตลอดวัน ไม่ต้องการน้ำมาก ปลูกได้ในดินทุกชนิด
การขยายพันธุ์: 
    -    เพาะเมล็ด  ราชาวดีที่สวนไม้หอมยังไม่พบการติดเมล็ด ยังไม่มีข้อมูลการเพาะ  
    -    การตอนกิ่ง  ต้องใช้ฮอร์โมนบางชนิดทาเหนือรอยควั่นด้านบนจึงจะได้ผลดี  
    -    ปักชำ  ใช้กิ่งที่มียอดอ่อนปักชำในกระบะพ่นหมอก หรือปักชำในกระถางขนาดกลางหุ้มด้วยถุงพลาสติก
การใช้ประโยชน์:
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร

สรรพคุณทางยา:  ลำต้นและราก ใช้ผสมสมุนไพรอื่นต้มดื่มแก้ไข้

เทียนหยด

                                                                                



ลักษณะทั่วไป
                เป็นพรรณไม้พุ้มเตี้ย สูง 1 - 2 เมตร แตกกิ่งก้านหนาแน่น ยอดกิ่งลู่ลง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม
และจะออกหนาแน่นเป็นกระจุกรอบกิ่งก้านในช่วงปลายยอดใบเป็นรูปรีแกมรูปไข่ ปลายใบแหลม โคน
ใบสอบ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ใบเป็นสีเขียวสด เวลาใบดกจะเป็นพุ่มน่าชมมาก ดอกออกเป็นช่อที่ซอก
ใบและปลายกิ่งแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ช่อดอกจะห้อยลงเป็นระย้า ลักษณะดอก โคน
เป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ดอกแต่ละกลีบเป็นอิสระกัน ปลายกลีบโคงมน มีเว้าเล็กน้อยบริเวณ
กลางกลีบ โคนกลีบสอบแคบ เวลามีดอกดกๆและบานพร้อมๆกันทั้งต้น ช่อดอกจะห้อยปลายลงเป็นระย้า
ดูงดงามมาก ดอกจะออกทั้งปี มีพันธุ์สีมว่งและสีขาว ผลทรงกลม ขนาดเล็กปลายแหลม อยู่รวมกันเป็นช่อ
ห้อยลงเมื่อแก้เป็นสีเหลือง
การขยายพันธุ์
               เทียนหยดปลูกขึ้นได้ในดินทั่วไป ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ชอบแดดจัดเหมาะจะปลูกลงดินกลางแจ้ง
หรือลงกระถาง ตั้งวางในที่มีแดดส่องถึงทั้งวัน นิยมปปลูกเป็นไม้ขอบแปลงหรือแปลงใหญ่
ขยายพันธุ์โดย การเพาะเมล็ด ตอนหรืปักชำกิ่ง
การดูแลรักษา
               หลังการปลูก บำรุงด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก 10 วันครั้งรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น ถ้าปลูกลงกระถาง
ควรให้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 อาทิตย์ละครั้ง สลับกับปุ๋ยมูลสัตว์ 10 วันครั้ง ตัดแต่งกิ่ง พรวนดินเสม่ำเสมอ
จะทำให้ต้นเทียนหยด เจริญเติบโตเร็ว


พุดน้ำบุษย์

                                                                                       



                  พุดน้ำบุษย์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gardenia carinata Wallich.) เป็นดอกพุดที่นิยมปลูกพุดน้ำบุษย์เป็นไม้กระถางเป็นไม้ดอกไม้ประดับสวยงามที่มีดอกหอม ดอกบานนาน 7 วันเมื่อแรกแย้มบานมัก เป็นสีออกขาวนวลส่งกลิ่นหอมมาก หอมไกล 2 - 3 เมตร เมื่อบานเข้าวันที่สองสีจะเริ่มออกเหลืองอ่อน ต่อมา ค่อยๆ เหลืองเข้มจนกระทั่งเข้มจัด ออกดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมตลอดวัน
ลักษณะเฉพาะ
ลักษณะ: เป็นไม้พุ่มต้นเล็กหรือพุ่มเตี้ยสูงประมาณ 2 - 3 เมตร แตกกิ่งต่ำ ตามข้อของลำต้น ลำต้นแก่สีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว
ใบ: ลักษณะใบสวย งามเพราะใบมัน หน้าใบสีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีเทา เป็นลายเห็นเด่นชัดสวยงาม เรียงใบ เป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบรูปรี กว้าง 5 เชนติเมตร ยาว 11 เซนติเมตร
ดอก: ดอกเดี่ยวบริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีเหลือง โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสีเหลือง ความยาวของกลีบ ของกลีบดอก 2 เซนติเมตร มี 7-8 กลีบ คลายรูปช้อน ชูดอกอยู่บนก้าน
การดูแล
                 การดูแล: เติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำได้ดี แสงแดดจัด ชอบความชื้นแต่ถ้าไม่สามารถหาแดดเต็มวัน ให้ได้ แดดครึ่งวัน แดดช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ พุดน้ำบุษย์ปลูกได้ 2รูปแบบ คือ ปลูกลงดินกลางแจ้งยกแปลงสูง หรือปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งไว้ ในที่มีแสงแดดส่องถึง หลังปลูกบำรุงดินด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ประเภทขี้วัวขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคน ต้นหรือรอบขอบกระถางปลูก 15 วันครั้ง รดน้ำให้พอชุ่มทั้งเช้าและเย็น

บานเย็น

                                                                                              


                  บานเย็น  เป็นไม้ดอกในสกุล Mirabilis ที่นิยมปลูกมากที่สุด มีสีดอกที่หลากหลาย กล่าวกันว่าบานเย็นถูกนำออกมาจากถิ่นกำเนิดในบริเวณเทือกเขาแอนดิส ในเปรู ช่วงปี ค.ศ. 1540 คำว่า Mirabilis ในภาษาละตินหมายถึง ยอดเยี่ยม, สวยงาม, มหัศจรรย์ ส่วนคำว่า Jalapa เป็นชื่อเมืองแห่งหนึ่งในประเทศเม็กซิโก
ดอกและสีดอก
                  ความน่าสนใจของบานเย็นคือ เป็นไม้ดอกที่สามารถมีดอกหลายสีอยู่บนต้นเดียวกันพร้อมๆ กันได้ นอกจากนี้ในแต่ละดอกอาจมีหลายสีปนกันอยู่ได้เช่นกัน จุดสนใจอีกประการหนึ่งคือการที่สีดอกจะเปลี่ยนไปเมื่อต้นบานเย็นมีอายุมากขึ้น เช่น บานเย็นพันธุ์ดอกเหลือง สีของดอกอาจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชมพูเข้ม หรือ พันธุ์ดอกขาวอาจจะเปลี่ยนเป็นม่วงอ่อนได้
                  ดอกบานเย็นจะบานในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เป็นต้นไป จึงเป็นที่มาของชื่อไทยว่า "บานเย็น" หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า "ดอกสี่โมง" (four o'clock flower) เมื่อดอกบานจะมีกลิ่นหอมจัดแบบกลิ่นหอมหวานๆในประเทศจีน เรียกบานเย็นว่า "ดอกสายฝน" (shower flower) หรือ "ดอกหุงข้าว" (rice boiling flower) เพราะดอกบานเย็นจะบานในช่วงเวลานั้น ส่วนในฮ่องกง เรียกว่า "มะลิม่วง" (purple jasmine)
ส่วนของกลีบดอกที่เห็นเป็นสีต่างๆ นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่กลีบดอกแท้ แต่เป็นส่วนกลีบเลี้ยง (calyx) ที่เปลี่ยนรูปไปจากปกติและมีเม็ดสี (pigments) การผสมเกสรเกิดโดยแมลงกลางคืนชนิดที่มีลิ้นยาวซึ่งถูกดึงดูดมาหาดอกบานเย็นโดยกลิ่นหอมที่ปล่อยออกมานั่นเอง
ถิ่นอาศัยและการเพาะปลูก
                  บานเย็นถูกนำออกมาจากเขตมรสุมของทวีปอเมริกาใต้ แล้วนำไปปลูกอย่างแพร่หลายในเขตอบอุ่นและเขตร้อนอื่นๆ จนกลายเป็นพืชประจำถิ่น ในพื้นที่เขตอบอุ่นที่ค่อนข้างเย็น ต้นบานเย็นจะตายเมื่ออากาศเย็นจนเริ่มมีน้ำแข็ง แต่จะงอกกลับขึ้นใหม่ในฤดูใบไม้ผลิถัดไปจากเหง้าที่ฝังอยู่ใต้ดิน ต้นบานเย็นโตได้ดีที่สุดในแสงแดดจัด ความสูงต้นเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 90 ซม. ผลมีเมล็ดเดี่ยว เมล็ดมีลักษณะกลม ผิวเปลือกเมล็ดเปลี่ยนสีจากเหลืองปนเขียวเป็นสีดำและย่นเมื่อเมล็ดแก่จัด การกระจายเมล็ดเกิดได้เองและอาจแพร่กระจายได้เร็วมากจนกลายเป็นวัชพืชถ้าขาดการควบคุมดูแลที่ดี ผู้ปลูกบางรายแนะนำว่าก่อนปลูกควรแช่เมล็ดก่อน แต่พบว่าไม่จำเป็น
การใช้ประโยชน์
-  ดอกบานเย็น ใช้ทำสีผสมอาหารสีแดงเข้ม ซึ่งมักใช้แต่งสีเค้กและเจลลี่
-  ใบ กินสุกได้ แต่ควรกินเมื่อจำเป็นเท่านั้น
-   ส่วนต่างๆ ของต้นบานเย็นนำไปใช้ในยาขับปัสสาวะ ยาระบาย และรักษาแผล ส่วนรากเชื่อว่ามีสรรพคุณเพิ่มสมรรถนะทางเพศ และออกฤทธิ์ขับปัสสาวะและระบายท้อง รวมถึงมีการใช้เพื่อรักษาอาการบวมน้ำ
-  ใบ ใช้ลดอาการอักเสบ น้ำคั้นใบตำละเอียดและต้มแล้วใช้รักษาฝีหนอง
-  เมล็ดของบานเย็นบางพันธุ์ เมื่อบดละเอียดเป็นผงใช้ผสมในเครื่องสำอางและสีย้อม แต่เมล็ดบานเย็นส่วน


แคแสด

                                                                               
                           แคแสด ชื่อสามัญ Africom Tulip Tree, Fire Bell, Fountain Tree, Pichkari, Nandi Flame, Syringe แคแสด ชื่อวิทยาศาสตร์ Spathodea campanulata Beauv. จัดอยู่ในวงศ์ BIGNONIACEAE เช่นเดียวกับแคหางค่าง แคนา แคทะเล แคหัวหมู น้ำเต้าต้น ปีบ เพกา รุ่งอรุณ และไส้กรอกแอฟริกา เป็นต้น และแคแสดยังมีชื่ออื่นอีก เช่น แคแดง (กรุงเทพ)ยามแดงเป็นต้นโดยแคแสดนั้นเป็นพืชพื้นเมืองของแอฟริกาตอนใต้ และในภายหลังได้แพร่กระตายไปยังประเทศอื่นๆ ของโลกที่มีอากาศค่อนข้างร้อน 



ลักษณะของต้นแคแสด
                     ต้นแคแสด หรือ ต้นแคแดง จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดพุ่มกลมและค่อนข้างทึบ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้มและมีรอยแตกเป็นรวงตามยาว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือใช้หน่อ หากปลูกในที่แห้งมากจะผลัดใบ แต่จะไม่พร้อมกังทั้งต้น และถ้าหากตัดแต่งกิ่งให้แตกเป็นพุ่มกลม ก็จะให้ดอกที่พุ่มกลมตามรูปของเรือนยอดและดูสวยงามมาก
                      ใบแคแสด ใบเป็นใบผสมแบบขนนก มีใบย่อยประมาณ 4-7 คู่ ส่วนปลายเป็นใบเดียว ลักษณะของใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบผิวใบจักแล้วสากระคายมือ
                       ดอกแคแสด ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งตรง มีก้านช่อดอกยาว แต่ละช่อจะมีดอกจำนวนมากและจะทยอยกันบานครั้งละ 2-6 ดอกและมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-9 เซนติเมตร กลีบดอกติดกัน ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูประฆัง คล้ายดอกทิวลิป เป็นสีแสดหรือสีเลือดหมู ดอกแคแสดมีขนาดใหญ่ กลีบดอกหลุดร่วงได้ง่าย โดยจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุได้ประมาณ 4-8 ปี และจะออกดอกตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากในช่วงฤดูหนาว ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า